ประวัติประเทศญี่ปุ่น
ภูมิประเทศของญี่ปุ่น
ญี่ปุ่นตั้งอยู่ระหว่างละติจูดที่ 20 และ 30 องศา เหนือ และลองติจูดที่ 123 และ154 องศา ตะวันออก เป็นประเทศที่ตั้งอยู่ ทางตะวันออก สุดของโลก จึงเรียกว่า "ดินแดนอาทิตย์อุทัย" ญี่ปุ่นมีพื้นที่ประมาณ 372,000 ตารางกิโลเมตร ความยาวจากเหนือจดใต้ คือ 2,500 กิโลเมตร ญี่ปุ่นเป็นเกาะที่มีลักษณะเป็นแนวยาว จากด้านตะวันตกเฉียงเหนือ ของ มหาสมุทรแปซิฟิก และตั้งอยู่ทางด้าน ตะวันออกของแผ่นดิน ยูเรเชียประกอบด้วย เกาะใหญ่ 4 เกาะ ได้แก่ ฮอกไกโด ฮอนชู ชิโคกุ และกิวชิว นอกจากนี้ ยังมีเกาะเล็กเกาะน้อยอีกราว 4,000 เกาะ พื้นที่ส่วนใหญ่ เป็นภูเขาและ เนินเขา มีขนาดเล็กกว่า ประเทศไทย 0.7 เท่า แต่มีประชากร มากกว่าประมาณ 2 เท่า ประเทศ ญี่ปุ่น มีเมืองหลวงคือ โตเกียว (Tokyo) เป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุด จากเมืองทั้งหมดในญี่ปุ่น ญี่ปุ่นมีพื้นที่ 377,801 ตารางกิโลเมตร หรือ 145,869 ตารางไมล์ ตั้งอยู่ทางตะวันออกของทวีปเอเชีย ประกอบด้วย 4 เกาะใหญ่ อันได้แ ก่ ฮอกไกโ(Hokkaido) ฮอนชู (Honshu) ชิโกกุ (Shikoku) และคิวชู (Kyushu) และมีเกาะเล็กเกาะน้อยอีกราว 3,000 เกาะ เมืองหลวง คือ โตเกียว
ญี่ปุ่นมี 4 ฤดูกาล คือ
ใบไม้ผลิ อยู่ระหว่างเดือนมีนาคม-พฤษภาคม คนญี่ปุ่นถือว่าเป็นฤดูแห่งการเริ่มต้นใหม่ของสิ่งต่างๆ รวมทั้งเป็นช่วงเปิดเทอมของเด็กๆ อีกด้วย จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่จะพบเห็นชาวญี่ปุ่นออกมาเดินเล่นและ มีกิจกรรมนอกบ้านกันมากมาย ทั้งนี้ตั้งแต่ปลายเดือนเมษายน-ประมาณวันที่ 5 พฤษภาคม ยังถือเป็นช่วงสัปดาห์ทอง-Golden Weekของชาวญี่ปุ่นที่จะได้พักผ่อนติดต่อกันยาวนาน
ฤดูร้อน เริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายน-สิงหาคม อาบแดด แคมปิ้ง และการพักผ่อนยังชายหาด คือกิจกรรมยอดนิยมในช่วงฤดูร้อน และยังคงเป็นฤดูที่ชาวญี่ปุ่นไม่ว่าเด็ก หรือคนชราชอบมากที่สุด เพราะสิ่งที่มากับอากาศร้อนก็คือ เ สียงร้องเพลงของเหล่าจิ้งหรีดตัวน้อย และลมอ่อนๆ ที่ช่วยไม่ให้อากาศร้อนอบอ้าวเกินไปนัก ในช่วงนี้เองที่ชาวญี่ปุ่นนิยมส่งการ์ดที่เรียกว่า Shochu-mimai เพื่อสอบถามถึงกิจกรรมในช่วงฤดูร้อนของกันและกัน
ฤดูใบไม้ร่วง ที่แสนโรแมนติกคือตั้งแต่ช่วงเดือนกันยายน-พฤศจิกายน ใบไม้สีเขียวสีแดงร่วงลงทับถมบริเวณทั่วไป และเป็นช่วงของการแข่งกีฬาระหว่างโรงเรียน ปลายฤดูใบไม้ร่วงก่อนถึงฤดูหนาวจะเป็นช่วงที่พระอาทิตย์ส่องแสงยาวนานที่สุด ชาวญี่ปุ่นเรียกช่วงนี้ว่า Koharubiyori หรือช่วงฤดูใบไม้ร่วงน้อยๆ เช่นเดียวกับที่ชาวอินเดียนแดง ในอเมริกา ใช้เรียกฤดูร้อนของตน
ฤดูหนาว กินระยะเวลาจากเดือนธันวาคมจนกระทั่งถึงเดือนกุมภาพันธ์ นับเป็นช่วงหนาวที่โหดร้ายสำหรับชาวญี่ปุ่นแถบทางเหนือของฮอกไกโด โตโฮกุ และ โฮคุริกุ เลยทีเดียว สิ่งน่ารื่นรมย์สำหรับฤดูหนาวเห็นจะได้แก่เทศกาล Omisoka คล้ายๆ การส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ แต่จะไม่ตรงกับที่ 31 ธันวาคม หากจะอยู่ในช่วง 1-2 สัปดาห์ก่อนปีใหม่ ที่คนในครอบครัวจะใช้เวลาอาหารเย็นร่วมกันอย่างเป็นสุข ส่วนใหญ่จะนิยมฉลองกันด้วยบะหมี่ที่เรียกว่า Toshikoshi soba หรือบะหมี่ข้ามปี พร้อมรอคอยการฟังเสียงระฆังต้อนรับปีใหม่ ที่เรียกว่า Joya no kane
เมืองต่างๆของญี่ปุ่นมีดังต่อไปนี้
1. โยโกฮาม่า นี่คือเมืองใหญ่อันดับ 2 ของประเทศ แม้ด้วยความเป็นเมืองธุรกิจที่ทันสมัยและเต็มไปด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ แต่บรรยากาศเช่นนี้ ก็สามารถทำให้ผู้มาเยือนกลับไปด้วยความประทับใจไม่น้อยเลย
2. ชิสึโอกะ มีภูเขาไฟ ฟูจิ ที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายทั่วโลกเป็นสิ่งขึ้นหน้าขึ้นตา อยู่ห่างโตเกียวไม่ไกล ปัจจุบันมีประชากรหนาแน่นกว่า 3.8 ล้านชีวิต ส่วนเรื่องภูมิประเทศนั้น สวยงามทีเดียว เพราะประกอบไปทั้ง แม่น้ำ, ภูเขา, น้ำพุร้อน รวมทั้ง ทะเลสาบ ขณะที่สินค้าพื้นเมืองที่ผู้ไปเยือนต้องทดลองให้ได้คือ ชาเขียว อันเลื่องชื่อ
3. โอซาก้า คือเมืองแห่งการค้าชื่อดัง ขณะเดียวกันก็มีชื่อเรื่องความเป็นเมือง แห่งกีฬา ดังนั้นจึงไม่แปลกที่พวกเขาจะเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดโอลิมปิก ปี 2008 สำหรับ นาไก สเตเดี้ยมนั้น มีลู่วิ่งล้อมรอบตัวสนามด้วย โอซาก้า ตั้งอยู่จุดศูนย์กลางของประเทศและฉายา เมืองแห่งสายน้ำ ก็ได้มา เพราะการที่มีแม่น้ำ หลายสายกระจุกอยู่ในเมืองนั่นเอง ขณะเดียวกัน โอซาก้า ก็จัดเป็นเมืองที่มีวัฒนธรรมอันโดดเด่นด้วย ส่วนผู้คนจากเมืองได้ รับการยกย่องว่าขยัน
4. โกเบ เคยเป็นเจ้าภาพกีฬา โอลิมปิกนักเรียน มาแล้วในปี 1985 แต่ในทศวรรษถัดมาเมืองนี้ต้องประสบกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ โดยชื่อ วิง สเตเดี้ยม นี้ เป็นการตั้งขึ้นเพื่อให้เห็นภาพนกบินจากเถ้าถ่านของภัยพิบัติ เปรียบดั่งชีวิตของคนโกเบ ที่ผ่านพ้นเรื่องราวร้ายๆมา โกเบ จัดว่าเป็นเมืองท่าชั้นแนวหน้าเมืองหนึ่งของโลก ขณะเดียวกันก็มีชื่อ มากในฐานะเมืองแห่งการกีฬา ปัจจุบันมีประชากรอยู่ราว 1.5 ล้านคน จุดที่น่าสนใจเห็นจะเป็นเขตดาวน์ทาวน์ของเมืองนี้ ที่เต็มไปด้วยสินค้าต่างประเทศมากมายหลายชนิด ขณะที่สินค้าพื้นเมืองที่ขึ้นชื่อคือ เหล้าสาเก
5. โออิตะ การคมนาคมที่แสนสะดวกสบายจะนำนักท่องเที่ยวผู้นิยมการผ่อน คลายกาย-ใจมาที่นี่ด้วยเป้าหมายเดียวกันนั่นคือ บ่อน้ำร้อนอันเลื่องชื่อ ซึ่งอ เรียงรายกระจายไปทั่วเมือง ว่ากันว่าในปีหนึ่งๆจะมีนักท่องเที่ยวแห่กันมาแช่ตัวนับล้านคนเลยทีเดียว
6. ไซตามะ ด้วยความเป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานรวมทั้งการพัฒนาที่โดดเด่นทำให้ ไซตามะ ได้รับฉายาว่าเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยสีสัน ขณะเดียวกันฉายาก็สะท้อนให้เห็นถึงสีสันของป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์และจะเปลี่ยนสียามฤดูกาลเปลี่ยนแปลงด้วย ที่โดดเด่นคือบรรยากาศในอดีตที่ผู้มาเยือนสามารถรู้สึกได้ยามมาเยือน
7. อิบะระกิ เพียง 1 ชั่วโมงจาก โตเกียว คุณสามารถเดินทางมายังที่นี่ได้ อย่างสะดวกสบาย อิบะระกิ จัดเป็นเมืองแห่งอนาคต เพราะโดดเด่นมากเรื่องวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่างๆ แต่ขณะเดียวกันธรรมชาติอันสวยงามอย่าง ภูเขา, ทะเลสาบ, บึง รวมทั้ง หาดทรายสวย ก็รอให้นักท่องเที่ยวเข้าไปสัมผัส ส่วนเรื่องสินค้าขึ้นหน้าขึ้นตาได้แก่ ผ้าไหม คนที่ดังที่สุดประจำเมืองนี้ เห็นจะได้แก่ ซิโก้ อดีตซูเปอร์สตาร์ทีมชาติบราซิลเคยมาค้าแข้งและเป็นโค้ชให้กับ คาชิม่า แอนท์เลอร์ส ทีมลูกหนังขวัญใจชาวเมืองนั่นเอง ถึงขนาดมีรูปปั้นดาวเตะแซมบ้าอยู่หน้าทางเข้าสนามฟุตบอล อิบะระกิ เพอร์เฟกชูรัล ซอคเก้อร์ สเตเดี้ยม เลยทีเดียว
8. นีงะตะ หาดทราย, หิมะ, ต้นไม้เขียว หรือ ร้อนเป็นไฟ ทุกอย่าง สามารถเกิดขึ้นได้ ณ ดินแดนแห่งนี้ ไม่มีดินแดนแห่งไหนที่แสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลเท่า นีงะตะ แต่ขณะเดียวกันที่นี่ ยังเป็นแหล่งผลิตสินค้าส่งออกที่สำคัญหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น ข้าว, ดอกทิวลิป, ลูกแพร์, หัวผักกาด, แตงโม และ สาเก รสหอมหวาน
9. มิยะหงิ อยู่ห่างจาก โตเกียว ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือราว 300 กิโลเมตร และอยู่ในภูมิประเทศที่ว่ากันว่า งดงามมาก เพราะตั้งอยู่ท่ามกลางแนวภูเขาและเส้นแนวชายฝั่งทะเลของมหาสมุทรแปซิฟิก อีกทั้งยังมีหมู่เกาะเล็กๆกว่า 260 เกาะตั้งอยู่รายล้อมด้วย ขณะเดียวกัน มิยะหงิ ก็ได้รับการยกย่องว่า เป็นเมืองที่ผสมผสานศิลปะและวัฒนธรรมที่ลงตัว
10. ซัปโปโร อยู่ทางภาคเหนือของประเทศ ระหว่างมหาสมุทรกับภูเขา แม้จะเพิ่งตั้งมาได้ 130 ปี ทว่าปัจจุบันก็จัดเป็นเมืองใหญ่อันดับ 5 ของประเทศ ด้วยจำนวนประชากรถึง 1.8 ล้านชีวิต ขณะที่การเมืองและเศรษฐกิจบนเมืองแห่งเกาะ ฮ็อกไกโด แห่งนี้ก็เจริญงอกงามไม่น้อยหน้าใครเช่นเดียวกัน
ศาสนา
ชาวญี่ปุ่นในปัจจุบันไม่ได้ยึดติดกับศาสนาใดศาสนาหนึ่ง ไม่แปลกเลยที่คู่สมรสซึ่งเพิ่งแต่งงานใหม่ จะทำพิธีบอกกล่าวบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วที่หิ้งบูชา ตามแบบของชาวพุทธ แต่ทำพิธีแต่งงานตามแบบชาวคริสต์ และ ไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ศาลเจ้ชินโต ในระหว่างการไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ ไม่แปลกอะไรที่คนญี่ปุ่นจะพาลูกสาวอายุ 3ขวบ ลูกชายอายุ 5 ขวบและลูกสาวอายุ 7 ขวบไปที่วัดชินโต ทำพิธีชิจิ-โกะ-ซัน เพื่อให้มีสุขภาพแข็งแรง แต่จัดงานศพในวัดพุทธ หรือร่วมฉลองเทศกาลคริสต์มาสอย่างสนุกสนาน พิธีกรรมหรือประเพณีต่าง ๆ ทางศาสนานั้น ดูเหมือนจะเป็นธรรมเนียมปฏิบัติในชีวิตประจำวัน มากกว่าความหมายทางศาสนา ซึ่งคนญี่ปุ่นก็สามารถปฏิบัติตามประเพณีต่าง ๆ ของศาสนาที่แตกต่างกันได้ โดยไม่มีความรู้สึกขัดแย้งแต่อย่างใด นอกจากนั้น ศาสนาชินโต ซึ่งเป็นศาสนาประจำชาติของญี่ปุ่น ไม่กีดกันหรือใจแคบกับศาสนาอื่น และการนำพุทธศาสนา ลัทธิขงจื้อ และคริสตศาสนานิกายคาธอลิค เข้าสู่ประเทศญี่ปุ่นในศตวรรษที่ 17 ก็สร้างความบาดหมาง ระหว่างผู้ที่นับถือศาสนาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในประวัติศาสตร์ทางศาสนาของญี่ปุ่นนั้น มีการสู้รบกันเพราะสาเหตุทางศาสนาค่อนข้างน้อยครั้ง ลักษณะอีกสองประการของศาสนาในญี่ปุ่นคือ ยินยอมให้ผู้ที่นับถือศาสนาที่ต่างกันแต่งงานกันได้ และไม่สอนศาสนาในโรงเรียนโดยทั่วไป
ศาสนาชินโต
ศาสนาชินโตเป็นศาสนาที่เก่าแก่หรือเกิดมาพร้อมกับชาวญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ คว่า "ชินโต" หมายถึงวิถีของพระเจ้า ศาสนาชินโตมีความเชื่อที่ว่าวัตถุทุกอย่างในธรรมชาติแลปรากฎการณ์ต่าง ๆ มีวิญญาณหรือเทพเจ้าสิงสถิตอยู่ หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นความเชื่อแบ[ลัทธิภูติผี ผสมผสานกับการบูชาบรรพบุรุษตามความเชื่อใน คำสั่งสอนในศาสนชินโต นอกจากจะให้เคารพบรรพบุรุษแล้ว ก็ยังสอนให้เด็กรู้จักนบนอบต่อผู้ใหญ่ คนหนุ่มต้องเคารพนบน้อมต่อผู้สูงอายุ ผู้หญิงต้องเคารพผู้ชายซึ่ง ได้กลายมาเป็นระเบียบประเพณีที่ภรรยาต้องอยู่ในอำนาจของสามี การที่ชาวญี่ปุ่นโค้งให้กันอย่างอ่อนน้อมหลายครั้งนั้น ก็เป็นเครื่องแสดงให้เห็นถึงความสุภาพอ่อนน้อม ซึ่งเป็นผลมาจากศาสนาชินโตนี่เอง
ศาสนาพุทธ
พุทธศาสนา เผยแผ่สู่ประเทศญี่ปุ่นโดยผ่านประเทศจีนและเกาหลี ในประมาณกลา'ศตวรรษที่ 6 ในช่วงที่ศาสนาพุทธนิกายมหายานมาถึงญี่ปุ่น คำสอนของพระพุทธเจ้าก็ถูกปรับเปลี่ยนไปมากแล้ว และยิ่งเปลี่ยนแปลงมากขึ้นไปอีกเมื่อต้องเผชิญกับความเชื่อดั้งเดิมที่คนญี่ปุ่นนับถือกันอยู่ ในปัจจุบันศาสนาพุทธในญี่ปุ่นแตกออกเป็น 56 นิกายใหญ่และอีก 170 นิกายย่อย ในวัดพุทธมีพระพุทธรูป ( บุทสึโซ ) ผู้คนที่มาวัดจะจุดธูปบูชาเบื้องหน้าพระพุทธรูป ครอบครัวญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อยตั้งแท่นบูชาพระและแท่นบูชาบรรพบุรุษไว้ในบ้าน ปีใหม่ก็ยังคงนิยมไปไหว้ขอพรที่วัดศาสนาพุทธกันอย่างเนืองแน่น
ภาษา
ภาษาราชการ : -ภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาที่ใช้ทั่วประเทศ แม้ว่าจะมีความแตกต่างกันบ้างในแต่ละภูมิภาค ซึ่งจะมีภาษาท้องถิ่นของตนเอง แต่จากจำนวนคนญี่ปุ่นที่มีมากกว่า 120 ล้านคน ทำให้ภาษาญี่ปุ่น เป็นภาษาที่มีผู้ใช้มากเป็นอันดับที่ 10 รองจากภาษาจีน , อังกฤษ , รัสเซียและอื่น ๆ
-ภาษาอังกฤษ จะใช้ได้บ้างก็เฉพาะในบริเวณสนามบิน โรงแรมใหญ่ ๆ หรือสถานที่ราชการบางแห่ง ที่ต้องมีการติดต่อสื่อสารกับคนต่างชาติ แต่โดยทั่วไปแล้ว กล่าวได้ว่า คนญี่ปุ่นที่พูดภาษาอังกฤษได้ดีจะมีน้อยมาก เด็กนักเรียนญี่ปุ่นจะเริ่มเรียนภาษาอังกฤษ เมื่ออยู่ชั้น ม.1 ( เกรด 7 ) และด้วยระบบการสอนที่เน้นการให้ข้อมูล การท่องจำเพื่อสอบแข่งขันมากกว่าการใช้ในชีวิตจริง จึงทำให้เด็กญี่ปุ่นไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ แต่อาจจะเขียนและอ่านได้ดีกว่า ดังนั้น สำหรับชาวต่างชาติแล้ว หากไม่รู้ภาษาญี่ปุ่นเลย ก็จะลำบากต่อการใช้ชีวิตในญี่ปุ่นมากทีเดียว
ตัวอักษร :
ญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลการเขียนตัวอักษรแบบจีน และวัฒนธรรมจีนมา ตั้งแต่เมื่อคริสตศตวรรษที่ 7 และ 8 ซึ่งยังคงมีอิทธิพลต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ดังจะเห็นได้จากตัวหนังสือที่ใช้อยู่ 3 แบบคือ แบบที่ 1 และแบบที่ 2 คือ ฮิรางานะ ( Hiragana ) และ คาตากานะ ( Katagana ) ซึ่งประดิษฐ์ขึ้นในญี่ปุ่น จากการย่ออักษรจีนบางตัว ทั้งสองแบบมีตัวอักษรอย่างละ 46 ตัว และแสดงเสียงตามพยางค์ แบบที่ 3 คือคันจิ ( Kanji ) เป็นตัวอักษรจีน ซึ่งเป็นอักษรภาพที่แสดงความหมายในตัวเอง อักษรจีนที่ถูกใช้อยู่มีประมาณ 3,000 ตัว แต่จำนวนอักษรจีนที่ถูกระบุอย่างเป็นทางการ ว่าใช้กันอยู่ทั่วไปในปัจจุบันมีเพียง 1,945 ตัวเท่านั้น ในการเขียนประโยคต่าง ๆ จะใช้อักษรจีนผสมกับอักษรแบบฮิรางานะ สำหรับชื่อสถานที่ ชื่อเฉพาะอื่น ๆ ที่มาจากอเมริกา ยุโรป และประเทศอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อักษรแบบจีน รวมถึงคำศัพท์เทคนิคซึ่งยืมจากภาษาต่างประเทศ จะเขียนด้วยอักษรคาตะกานะ ภาษาญี่ปุ่นอาจเขียนในแนวดิ่งจากข้างบนลงข้างล่างก็ได้ หรือจะเขียนตามขวางจากซ้ายไปขวาก็ได้
เศรษฐกิจ
รถยนต์
รถยนต์คือหนึ่งในผลิตภัณฑ์ของญี่ปุ่นที่ร้จักกันดีที่สุด ในปี พ.ศ. 2533 ญี่ปุ่นผลิตรถยนต์ รถ โดยสารและรถบรรทุกประมาณ 13.5 ล้านคัน มากกว่าประเทศอื่นใด รถยนต์จำนวนมากผลิตโดยหุ่นยนต์ หุ่นยนต์พวกนี้คือเครื่องจักรกลที่สลับซับซ้อน ซึ่งถูกออกแบบสำหรับการทำงานพิเศษเฉพาะอย่าง หุ่นยนต์สามารถทำงานน่าเบื่อหน่ายและจำเจ เปิดโอกาสให้คนมีอิสระในการทำงานที่น่าสนใจและยุ่งยากซับซ้อนประเทศญี่ปุ่นอาจเป็นประเทศที่มีหุ่นยนต์อุตสาหกรรมมากกว่าประเทศพัฒนาประเทศอื่นๆรวมกัน รถยนต์ที่ผลิตได้ในประเทศญี่ปุ่นส่วนหนึ่งถูกส่งออก แต่บริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นก็ยังสร้างโรงงานในหลายๆประเทศ
อิเลกทรอนิกส์
อุตสาหกรรมสำคัญอีกอย่างคืออิเลกทรอนิกส์ บริษัทอิเลกทรอนิกส์ญี่ปุ่นผลิตสินค้าแตกต่างกันหลายชนิด ตั้งแต่สเตอริโอส่วนตัว วิทยุ คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์โทรคมนาคม
การเกษตร
ประเทศญี่ปุ่นมีพื้นที่เหมาะสมแก่การเพาะปลูกทางการเกษตรเพียง ร้อยละ 14 เท่านั้น ไร่นามีขนาดเล็กโดยเฉลี่ยประมาณ 1.4 เฮคตาร์ (ประมาณ 8.75 ไร่) ที่ว่างทุกส่วนมีค่าและชาวนาใช้ที่ดินให้ได้ประโยชน์สูงสุด โดยปลูกผลผลิต ให้ได้มากที่สุดในทุกเฮคตาร์ ปุ๋ย เครื่องจักร และการดูแลเอาใจใส่ด้วย ความอดทน ตลอดจนเทคนิคที่ดีเยี่ยมช่วยให้ชาวไร่ชาวนา สามารถผลิต พืชผลได้มากกว่าสองในสามของผักและผลไม้ที่บริโภคภายในประเทศ ชาวไร่ชาวสวนยังใช้ที่ดินบางส่วนเลี้ยงไก่ วัว และหมู ถึงแม้ว่าประเทศญี่ปุ่นผลิตข้าวได้เพียงพอที่จะเลี้ยงประชากรทั้งประเทศ แต่ยังต้องนำเข้าผลิตผลทางการเกษตรประเภทอื่น
การประมง
ปลาเป็นส่วนสำคัญของอาหารญี่ปุ่น ดังนั้นการประมงจึงเป็นอุตสาหกรรมหลัก ซึ่งมีทั้งการจากที่จับในท้องทะเล และได้มาจากการเลี้ยงในฟาร์ม อย่างไรก็ดี ปริมาณที่ได้ยังคงไม่เพียงพอ ดังนั้นประมาณร้อยละ 10 ของปลาที่ประชาชนบริโภคในประเทศญี่ปุ่นเป็นการนำเข้า
ทรัพยากรธรรมชาติ
ประเทศญี่ปุ่นสร้างพลังงานบางส่วนโดยใช้น้ำ ดวงอาทิตย์ ความร้อน และพลังงานนิวเคลียร์ อย่างไรก็ดี ญี่ปุ่นยังต้องนำเข้าทรัพยากรที่จำเป็นส่วนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องนำเข้าน้ำมันเกือบทั้งหมด ประเทศญี่ปุ่นผลิตสินค้าเพื่อส่งออกจะได้สามารถนำเงินมาจ่ายค่าทรัพยากร
การค้า
ญี่ปุ่นซื้อและขายสินค้ากับเกือบทุกประเทศทั่วโลก ประมาณ 1 ใน 3 ของการส่งออกของญี่ปุ่น นั้นส่งไปสหรัฐอเมริกา ขณะที่ 1 ใน 4 ของการนำเข้าก็มาจากสหรัฐอเมริกาเช่นกัน ประเทศคู่ค้าสำคัญๆของญี่ปุ่นในเอเซียก็มีเช่น ฮ่องกง สิงคโปร์ เกาหลีใต้ และไต้หวัน บริษัทญี่ปุ่นหลายบริษัทเปิดโรงงานในต่างประเทศ ในปี พ.ศ. 2533 บริษัทญี่ปุ่นใช้จ่ายประมาณ 57,000 ล้านดอลล่าห์สหรัฐในการสร้างโรงงานและสำนักงานแห่งใหม่ทั่วโลก นอกจากนี้รัฐบาลญี่ปุ่นยังให้ความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาประเทศให้แก่ประเทศกำลังพัฒนาด้วย
ประชากร
ประเทศญี่ปุ่นมีประชากรมากกว่า 123 ล้านคน เป็นประเทศที่มีประชากรมากเป็นอันดับที่ 7 ของโลก แต่ในระยะไม่กี่ปีนี้จำนวนประชากรคงที่ ประชากรชาวญี่ปุ่นสืบเชื้อสายมาจากการรวมกันของกลุ่มชนกลุ่มน้อยในสมัยโบราณ ชนชาติพื้นเมืองของหมู่เกาะญี่ปุ่นได้ผสมผสานเข้ากับประชาชนจากแผ่นดินใหญ่ของทวีปเอเชีย และหมู่เกาาะในแปซิฟิก ภาษาและวัฒณธรรมญี่ปุ่นดังที่เรารู้จักกันในปัจจุบันนี้ได้พัฒนามาจากการผสมผสานนี้ หากคุณเดินทางทั่วประเทศญี่ปุ่น คุณจะสังเกตเห็นความแตกต่างระหว่างภูมิภาค รวมไปถึงภาษาถิ่นด้วย ตัวอย่างเช่น ชาวโตเกียวพูกขอบคุณด้วยคำว่า "อาริงาโตะ" แต่ที่เกียวโตทางตะวันตกของญี่ปุ่นจะใช้คำว่า "โอคินิ" ถึงแม้ว่าประเทศญี่ปุ่นมีประชากรจำนวนมาก แตมีพื้นที่อยู่อาศัยค่อนข้างเล็ก ดังนั้นจึงเป็นประเทศที่มีประชากรหนาแน่น คือโดยเฉลี่ยมีประชากร 332 คนต่อพื้นที่ 11 ตารางกิโลเมตร พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศเป็นภูเขาและลำบากต่อการพัฒนา ดังนั้นตามสภาพความเป็นจริงประชากรจะอาศัยอยู่ในพื้นที่เพียงไม่ถึงร้อยละ 10 ของพื้นที่ประเทศทั้งหมด ด้วยเหตุนี้บางพื้นที่มีประะชากรหนาแน่นมากกว่าเกณฑ์เฉลี่ย ประชากรจำนวนมากอาศัยในพื้นที่ราบใกล้มหาสมุทร และโดยส่วนมากเมืองใหญ่ๆ ของญี่ปุ่นตั้งอยู่ในพื้นที่ราบเช่นนี้ ชาวญี่ปุ่นมากกว่า 4 คนในทุก 5 คนอาศัยอยู่ในเมืองใหญ่หรือเมืองขนาดย่อมลงมา ในโตเกียวซึ่งเป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศญี่ปุ่นมีประชากร 12 ล้านคน เมืองใหญ่ๆ ที่มีประชากรมากกว่า 1 ล้านคน ได้แก่ ฟุกุโอกะ โกเบ เกียวโต โอซาก้า ซับโปโร และโยโกฮาม่า
ครอบครัว
ปัจจุบันนี้ครอบครัวญี่ปุ่นโดยมากมีบุตรเพียงหนึ่งหรือสองคน ในอดีตปู่ ย่า ตา ยาย อาศัยอยู่กับลูกหลาน ทว่าเดี๋ยวนี้คนสูงอายุที่อาศัยอยู่ลำพังมีจำนวนเพิ่มขึ้น อีกทั้งการมีอายุยืนยาวขึ้นของชาวญี่ปุ่น ประเทศญี่ปุ่นจึงต้องพัฒนาวิธีใหม่ๆในการช่วยเหลือและดูแลผู้สูงอายุ
การงาน
ชาวญี่ปุ่นบ้างก็ทำงานกับบริษัทขนาดใหญ่ และบริษัทขนาดใหญ่ๆเหล่านี้บางบบริษัทได้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักดีทั่วโลก คนที่ทำงานกับบริษัทใหญ่และชื่อดังเช่นนี้ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่บริษัท บางครั้งพวกเขาต้องไปทำงานในสถานที่ห่างไกลบ้านมาก และแน่นอนว่าต้องมีบริษัทเล็กๆในญี่ปุ่นเป็นจำนวนมาก บริษัทเล็กๆเหล่านี้เป็นธุรกิจแบบครอบครัว บ้างก็ทำด้านเกษตร โรงงานหรือร้านค้า การทำธุรกิจแบบครอบครัวนี้ ทุกคนช่วยกันทำงานและบุตรชายคนโตจะเป็นผู้สืบทอดกิจการ เมื่อบิดาเกษียณอายุ ในเวลาไม่นานมานี้เอง คนงานในญี่ปุ่นโดยส่วนมากแล้วยังคงเป็นงานชาย แต่ขณะนี้สภาพการณ์กำลังเปลี่ยนแปลงเนื่องจากมีคนงานหญิงทำงานในบริษัทญี่ปุ่นเป็นจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ระบบการศึกษา
ระบบการศึกษาของญี่ปุ่นแบ่งเป็น 5 ระดับ
1. อนุบาล (อายุ 3-6 ปี)
2. ประถมศึกษา (อายุ 6-12 ปี)
3. มัธยมศึกษาตอนต้น (อายุ 12-15 ปี)
4. มัธยมศึกษาตอนปลาย (อายุ 15-18 ปี)
5. วิทยาลัยหรือมหาวิทยาลัย
เด็กญี่ปุ่นทุกคนต้องเข้าเรียนตั้งแต่อายุ 6-15 ปี เด็กจำนวนไม่น้อยเริ่มเรียนเร็วกว่าโดยเริ่มเรียนตั้งแต่ระดับอนุบาลในวัย 3 หรือ 4 ขวบ เด็กญี่ปุ่นเกือบทั้งหมดจะเรียนจนกระทั่งอายุ 18 หลังจากนั้นประมาณสามส่วนของจำนวนเด็กจะก้าวสู่การศึกษาในระดับสูงขึ้น
เด็กนักเรียนบางคนไม่เรียนในโรงเรียนมัธยมปลายที่อยู่ใกล้บ้าน เพราะมีความรู้สึกว่าโรงเรียนบบางโรงเรียน และมหาวิทยาลัยบางแห่งดีกว่าโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยอื่น พวกเขาเชื่อว่านักเรียนที่เรียนในโรงเรียนมัธยมศึกษาที่ดีจะสามารถเข้ามหาวิทยาลัยที่ดี ซึ่งทำให้การได้งานที่ดีเป็นเรื่องง่ายยิ่งขึ้น ดังนั้นจึงมีการแข่งขันอย่างหนักเพื่อเข้าเรียนในโรงเรียนบางแห่ง ทุกโรงเรียนเลือกเด็กนักเรียนตามผลของการเข้าสอบ ซึ่งแต่ละโรงเรียนเป็นผู้ออกข้อสอบของตนเอง ข้อสอบของโรงเรียนที่มีชื่อเสียงมากก็ยากมาก ฉะนั้นนักเรียนจำนวนไม่น้อยจึงเรียนพิเศษที่โรงเรียนพิเศษ (จูคุ) ในตอยเย็นและวันหยุดสุดสัปดาห์ เพื่อช่วยในการเตรียมตัวสำหรับสอบเข้า
รัฐบาล
ประเทศญี่ปุ่นมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย พลเมืองวัยรุ่นบรรลุนิติภาวะทุกคนมีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงและลงสมัครรับเลือกตั้งระดับชาติและระดับภูมิภาค พรรคการเมืองใหญ่มี 6 พรรคพรรคที่เข้มแข็งที่สุดคือประชาธิประไตย(ลิเบอรัล เดโมแครติค พาร์ตี้) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2498 สถาบันนิติบัญญัติแห่งชาติของญี่ปุ่นเรียกว่า สภาไดเอ็ต ซึ่งประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎรและวุมิสภา สมาชิกผู้แทนราษฎร ได้รับเลือกมาจากเขตเลือกตั้งท้องถิ่น สมาชิกวุมิสภาเป็นการเลือกจากเขตเลือกตั้งของจังหวัดหรือเขตเลือกตั้งแห่งชาติ กฎหมายเกือบทุกฉบับต้องผ่านการเห็นชอบของทั้งสองสภา มีกฎหมายเพียงบางประเภทที่ต้องผ่านการตัดสินใจของสภาผู้แทนราษฎรในภายหลังหากสองสภาไม่เห็นชอบ นายกรัฐมนตรีเป็นสมาชิกของสภาไดเอ็ต และสภาไดเอ็ตทำการเลือกนายกรัฐมนตรีขณะ นายกรัฐมนตรีเป็นผุ้แต่งตั้งคณะรัฐมนตรี แต่ละกระทรวงมีรัฐมนตรีแต่ละคนเป็นหัวหน้า รัฐบาลแห่งชาติรับผิดชอบเรื่องราวต่างๆที่ส่งผลกระทบต่อทั้งประเทศ ประเทสญี่ปุ่นแบ่งออกเป็น 47 จังหวัด และแต่ละจังหวัดมีฝ่ายบริหารที่มาจากการเลือกตั้ง ทุกนครใหญ่ เมือง และแต่ละหมู่บ้านในแต่ละจังหวัดเลือกฝ่ายบริหารของตนเอง รัฐบาลระดับจังหวัดและระดับท้องถิ่นรับผิดชอบการบริหารในระดับของตน
พระราชวงศ์
ประเทศญี่ปุ่นมีพระจักรพรรดิ ตามรัฐธรรมนูญของประเททศญี่ปุ่น พระจักรพรรดิทรงเป็นสัญลักษณ์ของประเทศ และความสามัคคีของปวงชน พระจักรพรรดิญี่ปุ่นทรงไม่มีอำนาจในส่วนเกี่ยวกับการบริหารประเทศ พระราชวงศ์ญี่ปุ่นสืบราชสมบัติต่อเนื่องมานับหลายศ๖วรรษ นับเป็นพระราชวงศ์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก พระจักรพรรดิพระองค์ปัจจุบันคือ สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโต เสด็จขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ. 2532 สมเด็จพระจักรพรรดิและสมเด็จพระจักรพรรดินีมิชิโกะทรงมีพระราชโอรสและพระราชธิดาสามพระองค์ สมเด็จพระจักรพรรดิและสมาชิกในพระราชวงศ์ประทับ ณ พระราชวังอิมพีเรียลในโตเกียว
เนื้อหาเยอะมาก
ตอบลบแต่ก็เป็นเรื่องที่ควรรู้